Overview
Sniper Elite: Resistance เป็นภาคแยกของซีรีส์ Sniper Elite ที่ไม่ได้ใช้ตัวเลขต่อท้ายภาค แต่เป็นการต่อยอดจาก Sniper Elite 5 ที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากแฟนๆ โดยภาคนี้มีจุดเด่นที่การเปลี่ยนตัวเอกเป็นครั้งแรก พร้อมพาผู้เล่นไปสัมผัสประสบการณ์การลอบเร้นสังหารในฉากหลังของฝรั่งเศสช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอีกครั้ง
Story (6/10) - เรียบง่ายแต่ก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ
เนื้อเรื่องของภาคนี้ ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Harry Hawker เพื่อนร่วมทีมของ Karl Fairburne (ตัวเอกหลักในภาคก่อนๆ) ในโหมด Co-op ซึ่งภารกิจหลักก็ยังคงเป็นการช่วยเหลือกลุ่มต่อต้านในการทำลายอาวุธของพวกนาซี ไม่ต่างจากภาคก่อนๆ มากนัก การเล่าเรื่องไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ คัทซีนมีน้อย เน้นการเล่าเรื่องผ่านเสียงพากย์และภาพฉายบนโต๊ะหรือภาพซูมต่างๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างคือบุคลิกของ Harry ที่เป็นคนอารมณ์ดี ชอบเล่นมุกตลก ซึ่งสร้างสีสันและความแตกต่างจาก Karl Fairburne ได้พอสมควร
Gameplay (7/10) - ยกภาค 5 มาทั้งดุ้น แต่ยังสนุกอยู่
สำหรับเกมเพลย์นั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการยก Sniper Elite 5 มาทั้งดุ้น เหมือนเป็น DLC ขนาดใหญ่มากกว่าภาคแยกเลยทีเดียว แต่ถึงแม้จะไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก แก่นหลักของ Sniper Elite ก็ยังคงความสนุกไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น X-Ray Kill Cam ที่แสดงภาพการพุ่งทะลุของกระสุนเข้าไปทำลายอวัยวะภายในของศัตรูอย่างสะใจ การคำนวณวิถีกระสุนตกที่สมจริง และแผนที่ขนาดใหญ่ให้ผู้เล่นได้สำรวจอย่างอิสระ
ภาคนี้ยังมีอาวุธและอุปกรณ์ตกแต่งปืนให้ปลดล็อกมากมาย แต่ก็อาจจะต้องใช้เวลาเล่นซ้ำหลายรอบเพื่อปลดล็อกทั้งหมด โหมดการเล่นอื่นๆ ก็ยังคงยกมาจากภาค 5 แต่มีโหมดใหม่ที่น่าสนใจคือ โหมด Propaganda ที่จะเปลี่ยนภารกิจธรรมดาให้กลายเป็นภารกิจจับเวลา พร้อมกติกาพิเศษเพื่อแข่งขันทำคะแนนบนลีดเดอร์บอร์ด
โดยรวมแล้ว เกมเพลย์ยังคงสนุกตามมาตรฐานของ Sniper Elite แต่ไม่ได้มีอะไรใหม่เป็นพิเศษ
Performance (7/10) - ภาพตกยุค กินสเปคใช่เล่น แต่ลื่นไหลไม่มีปัญหาอะไร
ในด้านประสิทธิภาพของเกม กราฟิกค่อนข้างจะดูล้าสมัยไปบ้าง การแสดงสีหน้าของตัวละครก็ไม่ค่อยสมจริงเท่าที่ควร แถมยังกินสเปคเครื่องคอมพิวเตอร์พอสมควร บน PC ไม่มีเทคโนโลยี Upscale ใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้ต้องพึ่งพาพลังดิบของการ์ดจอล้วนๆ อย่างไรก็ตาม ตัวเกมเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่มีปัญหาเกมหลุดหรือเฟรมเรตตกอย่างรุนแรง อาจเป็นเพราะเป็นการยกเอาระบบของภาค 5 มาปรับปรุง
Sound Design (6/10) - มีเอกลักษณ์ตามสไตล์ซีรีส์แต่โดนรวมธรรมดาไม่น่าจดจำขนาดนั้น
ด้านการออกแบบเสียง นอกเหนือจากเพลงธีมหลักที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ และเสียงปืนสไนเปอร์ตอนยิงแบบ X-Ray รวมถึงเสียงกระสุนที่พุ่งทะลุร่างศัตรูแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าจดจำหรือโดดเด่นเป็นพิเศษ
