วิเคราะห์ Nintendo Switch 2 ขนาด,ฟังก์ชั่น และคำถามที่ค้างในใจ

แชร์เรื่องนี้:
วิเคราะห์ Nintendo Switch 2 ขนาด,ฟังก์ชั่น และคำถามที่ค้างในใจ

วิเคราะห์ Nintendo Switch 2 ขนาด,ฟังก์ชั่น และคำถามที่ค้างในใจ

 

Nintendo Switch 2 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 และมันก็สร้างกระแสฮือฮาไปทั่วโลก แน่นอนว่าการปล่อย Teaser ของเครื่องใหม่นี้เป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก หลังจากที่ผจญข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับมันมานานหลายปี ในตอนนี้ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าแล้ว ว่าตัวเครื่องจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมในวันที่ 2 เมษายนที่จะถึงนี้

ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันแล้วเกี่ยวกับ Nintendo Switch 2

แม้ว่ายังไม่มีการเปิดเผยเครื่องเกมรุ่นใหม่อย่างเป็นทางการ แต่ชื่อ 'Switch 2' เป็นเพียงชื่อเรียกกันเองเท่านั้น นินเทนโดเรียกเครื่องเกมรุ่นนี้ว่า "เครื่องเกมรุ่นต่อจาก Nintendo Switch" ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะใช้ชื่อทางการว่าอะไร อย่างไรก็ตาม นี่คือข้อมูลที่ได้รับการยืนยันแล้ว:

  • เครื่องเกมรุ่นนี้จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น
  • 'Switch 2' จะ รองรับเกมเก่า จาก Nintendo Switch รุ่นปัจจุบัน ทั้งในรูปแบบของ Physical(แบบแผ่น) และแบบ Digital (ดาวน์โหลด)
  • ปรับเปลี่ยน Joy-Con ไปเป็นรูปแบบแม่เหล็ก แทนที่การสไลด์แบบล็อก

ขนาดของอุปกรณ์ทั้งหมด

ขนาดของตัวเครื่อง

เนื่องจากยังไ่ม่ได้มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ทางตัวอย่างที่ Nintendo นั้นปล่อยออกมา เราก็สามารถเปรียบเทียบได้คร่าวๆ เนื่องจากมีการวัดขนาดกับตัวเครื่องช่วงจังหวะหนึ่ง และมีการวางเทียบคู่กับ Joy-Con แบบดั้งเดิม

  • Joy-Con ดั้งเดิมมีความสูงอยู่ที่ 102 มิลลิเมตร (4.02 นิ้ว) และกว้าง 35.9 มิลลิเมตร (1.41นิ้ว)
  • Switch 2 จะมีความสูงอยู่ที่ 116.5 มิลลิเมตร (4.6 นิ้ว) และกว้าง 201 มิลลิเมตร (7.91 นิ้ว)
  • ขนาดของ Monitor (หน้าจอ) จะมีขนาดอยู่ที่ 7.97 นิ้ว (น่าจะปัดเป็น 8 นิ้วได้เลย)

จากที่เห็นขนาดของจอจะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่น OLED ถึง 1 นิ้วเลยทีเดียว

ขนาดของ Joy-Con ตัวใหม่

  • Joy-Con เวอร์ชั่นใหม่จะมีขนาดที่สูงกว่าเล็กน้อย 116.5 มิลลิเมตร (4.6 นิ้ว) ส่วนความกว้างจะมีขนาดเกือบเท่าเดิมที่ 40.68 มิลลิเมตร (1.6 นิ้ว)

ขนาดเครื่องเวอร์ชั่น Portable

  • ขนาดของ Joy-Con เวอร์ชั่นที่ไม่รวม Grip สำหรับเชื่อมต่อเครื่อง จะมีขนาดอยู่ที่ 26.29 มิลลิเมตร์ (1.4 นิ้ว) ดังนั้น Joy-Con 2 อันรวมกับความยาวเครื่องทั้งหมด จะได้เท่ากับเครื่องในเวอร์ชั่นพกพา (Portable) ซึ่งก็คือ 272.12 มิลลิเมตร (10.71 นิ้ว) ความสูงก็จะเป็น 116.5 มิลลิเมตร (4.6 นิ้ว)

ขนาดของ Dock

  • ขนาดของ Dock ความยาวจะมีขนาดเท่ากับตัวเครื่อง (แบบไม่ใส่ Joy-Con) คือจะมีขนาด 201 มิลลิเมตร (7.91 นิ้ว) ส่วนความสูงจะอยู่ที่ 122.55 มิลลิเมตร (4.44 นิ้ว)

เปรียบเทียบขนาดระหว่าง Switch เวอร์ชั่นแรก กับ Switch 2

จะเห็นได้ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว Switch 2 นั้นมีขนาดใหญ่กว่าอยู่พอสมควร

ฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ และเป็นไปได้

Type C 2 จุด

หนึ่งในสิ่งที่อัปเดตมาและถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญนั่นก็คือการเพิ่มจำนวนพอร์ต Type C เข้ามาบริเวณด้านบนของเครื่อง Nintendo Switch 2 ซึ่งหน้าที่หลักของมันก็คงหนีไม่พ้นการเป็นพอร์ตสำหรับการชาร์จเครื่อง นั่นก็เป็นเพราะว่าในเครื่องเก่าอย่าง Nintendo Switch นั้น เมื่อเราก็ขาตั้งออกมาเล่น ไม่ว่าจะในหรือนอกสถานที่ก็ตามแต่ เราไม่สามารถที่จะเสียบสายชาร์จได้ เนื่องจากว่าพอร์ต Type C ที่มีอยู่ด้านล่างนั้น จะถูกบังโดยสมบูรณ์ นั่นทำให้การเพิ่มพอร์ตด้านบนนั้น ช่วยอำนวยความสะดวกผู้เล่นที่ชอบตั้งขาตั้งแล้วเล่นไปด้วยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้แล้วยังช่วยสำหรับการต่ออุปกรณ์พ่วงเสริมอื่นๆ อีกมากมาย อย่างการต่อ HUB ที่แปลงจาก Type C เป็น USB เพิ่มเติม ช่วยให้ระหว่างการเชื่อมต่อเครื่อง Switch 2 กับ Dock นั้น สามารถใช้อุปกรณ์เสริมอื่นๆ เพิ่มเติมได้ด้วยนั่นเอง

พอร์ต Type C บริเวณด้านบนเครื่อง

ขาตั้งแบบใหม่ ช่วยขยายความเป็นไปได้ในการเล่น

อีกหนึ่งสิ่งที่ถูกเปลี่ยนแปลงนั่นก็คือขาตั้ง Switch2 ที่ทำการปรับปรุงมา โดยจากที่เราเห็นในตัวอย่างนั้น ขาตั้งจะเป็นลักษณะของตัว U และมีสลักที่สามารถดึงออกได้ง่าย ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นการปรับปรุงมาจาก Switch เวอร์ชั่นแรกที่มีปัญหาในการดึงขาตั้งอย่างมาก (บางคนเล็บแทบจะระเบิดจากการพยายามดึงขาตั้งออกมา) แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือการที่เราสามารถปรับระดับขาตั้งได้เยอะมากขึ้นมาก (จากตัวอย่าง สามารถกางขาตั้งได้ถึง 140 องศา) ซึ่งการเอียงได้ในระดับนี้จริงๆ แล้วไม่น่าจะช่วยอะไรกับผู้เล่นมากนัก นอกจากจะวางเครื่องไว้บนพื้นแล้วตัวเองนั่งเล่นในระดับที่สูงกว่า แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือ ปุ่มเล็กๆ ที่อยู่บริเวณด้านบนของเครื่อง Switch 2 ซึ่งเป็นปุ่มที่ไม่เคยมีมาก่อนใน Switch เวอร์ชั่นแรก จากที่ลองมองดูแล้วมันจะเป็นเหมือนกระจกสีดำที่คล้ายกับเป็น IR (อินฟราเรด) ระบบทำงานโดยการส่งแสงอินฟราเรด ซึ่งตาของมนุษย์มองไม่เห็น แสงนี้จะทำการเดินทางเป็นเส้นตรงจนกว่าจะพบวัตถุ ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นแสงจะสะท้อนกลับไปยังเซ็นเซอร์ เนื่องจากมีการส่งแสงเหล่านี้ออกมาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง เซ็นเซอร์จึงสามารถสร้างภาพสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในแสงที่สะท้อนกลับบ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวของวัตถุ หรือว่าง่ายๆ มันก็คือฟังก์ชั่นการตรวจจับการเคลื่อนไหว ซึ่งจริงๆ แล้วใน Switch ดั้งเดิมนั้นจะมีฟังก์ชั่นนี้อยู่ใน Joy-Con ฝั่งขวา ที่เอาไว้ใช้กับเกมเฉพาะบางเกม ตัวอย่างเช่น RingFit ที่เอาไว้ใช้ตรวจจับชีพจรของเรา หรือ ใน 1-2 Switch ที่เอาไว้ตรวจจับการกระทบกันของฟันของเรา ในมินิเกมแข่งกินเป็นต้น

แล้วถ้ามันเป็นอินฟราเรดจริงๆ มันจะช่วยอะไรในการเล่น ?
เอาจริงๆ มันก็น่าจะเป็นฟังก์ชั่นเฉพาะเกมเหมือนกับกล้องอินฟราเรดในเวอร์ชั่นแรกนั่นแหละ แต่อาจจะถูกใช้ในการจับการเคลื่อนไหวสำหรับการเล่นหลายคนพร้อมๆ กัน โดยที่อีกคนไม่จำเป็นจะต้องถือ Joy-Con (นึกภาพตามจะคล้ายๆ กับการเล่นKeep Talking and Nobody Explodes) ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดีไซน์เกมที่มีลักษณะเฉพาะของ Nintendo เองแล้ว

ขาตั้งของเครื่อง Switch 2

 

 

 

ปุ่มปริศนาที่คาดว่าน่าจะเป็น อินฟราเรด

 

 

 

Grip แบบเดิม ที่ดูแล้วเหมือนไม่ได้เปลี่ยนอะไร

นี่ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมคาดหวังในการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดอย่างนึง (ถ้าไม่นับเรื่องสเปค) หรือต้องบอกว่า มันเป็นสิ่งที่ควรจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดแล้วก็ว่าได้ ถ้าใครเคยมี Switch เวอร์ชั่นดั้งเดิมน่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้อยู่ คือ Grip ในรูปแบบดั้งเดิมนั้นมันมีปัญหากับสายที่เล่นเกมจริงจังเป็นอย่างมาก เพราะมันผิดสรีระศาสตร์ในการจับ ทำให้การเล่นเป็นระยะเวลานานๆ นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ผู้เล่นจะต้องเผชิญกับอาการปวดมือหากถือเล่นต่อเนื่องมากกว่าชั่วโมง ซึ่งดูแล้ว Grip อันใหม่นี้ไม่ได้มีดีไซน์ที่แตกต่างจากเดิมเลย หากเราลองดูขนาดตามที่ผมได้ทำการวัดไปนั้น สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงคือความสูงของมัน (เพราะมันเท่า Joy-Con อยู่แล้ว) แต่ทางด้านความกว้างนั้นแทบจะเหมือนเดิมทุกประการ ถ้าตัวเครื่องจริงออกมาแล้ว Grip เป็นเหมือนที่เห็นและไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยจากเวอร์ชั่นดั้งเดิม(หวังว่าจะไม่เป็นเหมือนเดิม) ก็คงถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าผิดหวังที่สุดแล้ว เพราะถ้าจะเล่นเกมจริงจัง ก็คงต้องไปหาซื้อ Pro Controller มาใช้แทน

Switch 2 Joy-Con Grip

สีที่มาพร้อมกับเครื่อง สร้างลูกเล่นในการขาย

ต้องบอกว่าสิ่งนี้หลายคนอาจจะมองข้ามไป แต่สำหรับผมแล้วนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่คาดหวังว่า Nintendo จะสามารถทำอะไรกับมันได้สักอย่าง นั่นคือสีบริเวณที่เอาไว้เชื่อมต่อกับ Joy-Con ที่แม้จะเป็นจุดอับสายตา แต่สำหรับผู้เล่นที่ชื่นชอบการต่อกับ Dock เป็นพิเศษแล้ว นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่สามารถสร้างสรรค์ไอเดียได้หลายอย่าง (เหมือนกับตอนที่ PS5 ทำกับ Controller ที่เป็นดีเทลเล็กๆ ที่ผู้เล่นเห็นแล้วชื่นใจ) ตัว Switch ดั้งเดิมนั้นในพื้นที่อับสายตาตรงนี้ Nintendo ไม่เคยทำอะไรกับมันเลย ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะคนก็แทบจะไม่ใส่ใจอยู่แล้ว แต่ถ้ามี Edition ใหม่ๆ ของเครื่อง Switch 2 ออกมา มันคงจะดีไม่น้อย ที่เราจะได้เห็นตัวละคร หรือโลโก้เกมบางอันที่แอบซ่อนอยู่บริเวณนี้

โลโก้ใหม่ที่ดูเรียบเสียเหลือเกิน

นี่เป็นอีกอย่างที่เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยที่สุดในการเปิดตัวครั้งนี้แล้วก็ว่าได้ หลักใหญ่ใจความเลยก็คือครั้งนี้ Nintendo เลือกที่จะเรียกเครื่องใหม่ของตัวตามด้วยตัวเลข Switch 2 ซึ่งตามธรรมเนียมของ Nintendo แล้วเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็สามารถเข้าใจได้ ? ถ้าใครยังจำเหตุการณ์ตอนเปิดตัวเครื่องใหม่ต่อจาก Wii กันได้ เราก็น่าจะพอคาดการณ์สิ่งนี้ได้อยู่กับ Wii U นี่อาจจะเป็นอุบัติเหตุที่ Nintendo ไม่อยากให้เกิดซ้ำมากที่สุดแล้ว... ย้อนความสำหรับคนที่อาจจะไม่ได้รู้เหตุการณ์ดังกล่าวมาก่อน นั่นก็คือการขายเครื่อง Wii U นั้นทำหลายคนเข้าใจผิด ว่าเครื่องดังกล่าว เป็นเหมือนกับ Mod เสริมของเครื่อง Wii ไม่ใช่เครื่องเกมเครื่องใหม่ของ Nintendo ทำให้เกิดกระแสหลายอย่างเกิดขึ้นและ Nintendo ก็ไม่สามารถแก้เกมตรงนั้นได้ทัน ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในความล้มเหลวที่สุดของ Nintendo ก็ว่าได้ ดังนั้นการที่จะขายเครื่องรุ่นถัดไปของ Switch และใช้ชื่อเครื่องว่า Switch 2 เลยนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะว่าแค่ได้ยินชื่อเราก็รู้แล้วว่า มันเป็นเครื่องเจนใหม่แน่ๆ ล่ะ

Mario Kart 9 มีอยู่จริง

ถ้าถามว่า การซื้อเครื่องเกมสักเครื่องนึง อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อได้ง่ายที่สุด คำตอบก็คงหนีไม่พ้นเกม แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการประกาศเครื่องเจนใหม่ของ Nintendo เท่านั้น แต่การคาดหวังเกมใหม่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผิดมากนัก และ Nintendo ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง นั่นก็คือ Mario Kart ภาคใหม่ ที่เราไม่รู้ว่ามันเป็น 8 Double Deluxe หรือเป็นภาค 9 กันแน่ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เกมเดิม 100% เพราะจากที่เราดูภาพแล้ว เราจะเห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเกม อย่างการมีช่องปล่อยรถถึง 24 ช่อง หรือก็คืออาจจะทำให้เล่นออนไลน์พร้อมกันได้ถึง 24 คน (ซึ่งถ้า 24 คนจริง แสดงว่าเครื่องก็ต้องแรงพอสมควร)

คำถามที่รอคำตอบ

แน่นอนว่าเรามีคำตอบที่ Nintendo มอบให้หลายอย่างแล้ว ทั้งขนาดที่ใหญ่ขึ้น หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น Joy-Con แบบแม่เหล็ก และการปรับแต่งอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้น เรายังไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับระบบนี้ ซึ่งทำให้เรามีคำถามมากมายที่ยังค้างคาอยู่ มันจะวางจำหน่ายเมื่อไหร่กันแน่? ราคาเท่าไหร่? จะมีเกมอะไรให้เล่นบ้าง? แล้วไอปุ่มพวกนั้นมันคืออะไร แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ว่าเราอาจจะต้องรอคำตอบเหล่านี้กันอีกนาน เพราะ Nintendo Direct มีกำหนดการในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งจะมีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Switch 2 และช่วงเวลาช่องว่างตรงนี้นี่แหละ ที่เหมาะสมกับการจินตนาการเสียเหลือเกิน ด้วยเหตุฉะนี้ เรามาดูคำถามที่ยังคงค้างคาเกี่ยวกับ Switch 2 หลังจากที่ตัวอย่างปล่อยออกมาหน่อยดีกว่า

ปุ่มปริศนาบน Joy-Con ข้างขวา

แน่นอนว่ามีประเด็นที่สำคัญกว่านี้ แต่เอาจริง ๆ : ปุ่มใหม่นั่นคืออะไร? มันอยู่บน Joy-Con ด้านขวา ใต้ปุ่มที่น่าจะเป็นปุ่ม Home ที่กลับมา มีการคาดเดามากมาย แต่มันเป็นส่วนเสริมที่น่าสนใจเพราะเราไม่รู้คำตอบ มันอาจเปิดใช้งานคุณสมบัติใหม่ ๆ ได้มากมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดของการเปิดตัวคอนโซลใหม่

ปุ่มปริศนา

เครื่องจะขายเมื่อไหร่

Nintendo ยืนยันเพียงว่าจะเปิดตัว Switch 2 ในปี 2025 ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เราคาดหวังไว้แล้ว กำหนดเวลาของกิจกรรม hands-on หลัง Nintendo Direct ทำให้บางคนคาดเดาว่าการเปิดตัวจะไม่เร็วกว่าเดือนมิถุนายน แต่ ณ จุดนี้ นั่นเป็นเพียงการคาดเดา นั่นสอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่แนะนำว่าอาจเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน คอนโซลมักจะวางจำหน่ายในช่วงเดือนตุลาคม/พฤศจิกายน แต่นั่นก็ไม่ได้หยุด Switch รุ่นแรกที่เปิดตัวในเดือนมีนาคม ดังนั้นจึงไม่มีกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้เกี่ยวกับเวลาที่ Nintendo ยินดีหรือสามารถเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่ได้

ราคาเท่าไหร่

รายละเอียดที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือราคา ไม่มีการระบุราคาของระบบในงานเปิดตัวครั้งนี้ และเรายังไม่รู้ว่าสเปคเครื่องนั้นเป็นยังไง ดูเหมือนว่าระบบจะมาพร้อมกับ Dock และ Joy-Con Grip เหมือนเช่นเคย แต่นั่นไม่ได้บอกอะไรเรามากนัก Switch รุ่นแรกไม่เคยลดราคาอย่างเป็นทางการจากราคาเปิดตัว $300 (คนไทยซื้อราคาหิ้วราวๆ 17,xxx บาท) แม้ว่า Nintendo จะเสริมด้วยรุ่นที่ถูกกว่า อย่าง Switch Lite $200 (ราคาในไทยช่วงั้นคือ 5,xxx บาท) และรุ่นที่แพงกว่าอย่าง OLED, $350 (ราคาในไทยเป็นราคาปกติ อยู่ที่ 11,xxx บาท) เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่า Switch 2 จะมีราคาต่ำกว่าราคาที่ Nintendo ขาย Switch OLED ในปัจจุบัน และเพิ่งจะมีข่าวลือไปว่าเครื่องจะขายที่ราคา $399.99 ซึ่งตอนนี้ในไทยมี Store แล้ว (เป็นการจับมือกับ Synnex) แต่เราก็น่าจะพอเดาได้ว่า ถ้าเครื่องผลิตออกมาไม่พอต่อความต้องการ ก็จะโดนรีเซลจนราคาดีดไปแตะที่ 17,000-20,000 บาทอย่างแน่นอน

เครื่อง Switch 2 จะทำให้เกมของ Switch 1 ทำงานได้ดีขึ้นไหม

Nintendo อาจจะยังไม่ได้พูดถึงสเปคของเครื่อง แต่ Switch 2 จะต้องใช้สเปคที่แรงกว่ารุ่นก่อนอย่างแน่นอนSwitch 2 ยังได้รับการยืนยันว่าสามารถเล่นเกม Switch 1 ได้ (โดยมีข้อยกเว้นบางประการที่เรายังไม่ทราบ) แต่ฮาร์ดแวร์ใหม่จะถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุงภาพ ประสิทธิภาพ หรือเวลาโหลดของเกม Switch 1 หรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น นักพัฒนาจะต้องออกแพตช์ที่เปิดใช้งานการปรับปรุงเหล่านั้นหรือเปล่า? Nintendo จะทำเช่นนั้นกับเกมของตนเองด้วยหรือไม่ อย่างน้อยก็ทำให้ Pokemon Violet/Scarlet ที่มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพทำงานได้อย่างดีก็พอ หรือเพื่อแก้ไขปัญหาที่เจอในเกมอย่าง The Legend of Zelda: Breath of the Wild และ Tears of the Kingdom? หรือบริษัทและบริษัทอื่น ๆ จะต้องจัดการกับปัญหาเหล่านี้ด้วยหรือเปล่า ?

Amiibo จะเป็นยังไงต่อ

เรายังไม่รู้ว่า Switch 2 มีเครื่องอ่าน NFC หรือเปล่า ซึ่งจะต้องใช้ในการสแกนฟิกเกอร์ Amiibo ถึงแม้ว่าหลังๆ Amiibo จะไม่ได้ถูกเน้นมากนัก แต่ก็มีการเปิดตัวฟิกเกอร์ใหม่อยู่บ้างในช่วงปีหรือสองปีที่ผ่านมา หากไม่ได้วางแผนที่จะเปิดตัวต่อไปในอนาคต เป็นไปได้ว่าคุณสมบัตินี้จะถูกทิ้งบน Switch 2 แต่ผมก็คาดหวังอยู่ลึกๆ ว่าจะมีการสนับสนุน NFC ต่อไปในอนาคต

แบตเตอรี่ ปัญหาที่น่ารำคาญ

นี่เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ดูเหมือนจะยุ่งยากอย่างไม่น่าเชื่อจากมุมมองทางด้านเทคนิค เรายอมรับที่จะให้ Nintendo ผลักดันประสิทธิภาพและภาพระดับไฮเอนด์มากแค่ไหน โดยรู้ว่าต้องแลกมาด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่สั้นลง หลังๆ เครื่องเกมพกพาสไตล์ Steam Deck หลายตัวได้ออกมา และเจอปัญหาที่ใกล้เคียงกันในแง่ของแบตเตอรี่ แต่ก็ยังสังเกตถึงการพัฒนาได้ ทางด้าน Switch เองก็ได้รับอัปเกรดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วยรุ่นใหม่ ๆ เราน่าจะพอคาดหวังได้สัก 4.5 ถึง 9 ชั่วโมงเช่นเดียวกับที่ Nintendo ทำกับ Version OLED

Joy-Con จะใช้เป็นเมาส์ได้หรือเปล่า

ข่าวลือก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่า Switch 2 Joy-Con สามารถใช้ได้เหมือนเมาส์คอมพิวเตอร์ ถ้าสามารถทำได้ มันก็คือการเปิดประตูสู่เกมและประสบการณ์ประเภทใหม่ ๆ ในขณะเดียวกันก็อาจนำเสนอรูปแบบการป้อนข้อมูลที่แตกต่างกันซึ่งหลายเกมการใช้เมาส์ก็สะดวกกว่าจริงๆ อย่างเกมวางแผนหรือเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ตัวอย่างการเปิดตัว Switch อาจแสดงให้เห็นว่า Joy-Cons ถูกขยับไปมาในรูปแบบของเมาส์ (ดริฟต์ได้) แต่ไม่ว่าจะเป็นการบอกใบ้ถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึงหรือแค่อาจจะแซวตัวเองในเรื่องของเมาส์ที่ดริฟต์บ่อยก็เป็นไปได้เช่นกัน

เคยดริฟต์แล้ว ยังจะดริฟต์อยู่ไหม ?

Joy-Con ของ Nintendo นั้นขึ้นชื่อเรื่องการดริฟต์ของอนาล็อกเป็นอย่างมาก ซึ่งถามว่าของค่ายอื่นๆ เจอไหม ก็แน่นอนว่าเจอ แต่ของ Switch นั้นมันบ่อยจนน่ารำคาญ ถึงแม้ว่าเราจะพอเข้าใจจากราคาที่ต่ำกว่าเจ้าอื่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ขอเถอะ อย่างน้อยให้มันทนมือมากกว่านี้สักหน่อยก็ยังดี

แชร์เรื่องนี้:
Meltdown
Meltdown

Content Writer

เรื่องที่เกี่ยวข้อง