แนะนำการตั้งค่า DLSS ในเกม: เพิ่มเฟรมเรทด้วยพลัง AI

แชร์เรื่องนี้:

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวีดีโอเกมในปัจจุบันมีภาพที่สวยงามสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งฮาร์ดแวร์ก็แทบจะตามไม่ทัน ยิ่งเทคโนโลยีการประมวลผลภาพใหม่ๆ อย่าง Ray Tracing หรือเอนจิ้นเกม Unreal Engine 5 เข้ามาเสริมทัพ ยิ่งทำให้ภาพสวยงามอลังการ แต่ก็แลกมากับการกินทรัพยากรเครื่อง PC มากขึ้น ส่งผลให้เฟรมเรท (FPS) อาจลดลงจนไม่ลื่นไหลอย่างที่ใจต้องการ

สำหรับเกมเมอร์สาย PC ที่ต้องการทั้งภาพสวยและการเล่นเกมที่ลื่นไหล การปรับลดกราฟิกลงอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก โชคดีที่ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่นำ AI มาช่วยประมวลผลภาพ หนึ่งในนั้นคือ Deep Learning Super Sampling (DLSS) เทคโนโลยี Upscaling จาก Nvidia ที่ช่วยเพิ่มเฟรมเรทได้อย่างก้าวกระโดด โดยที่ภาพยังคงสวยงาม แทบไม่ต่างจากเดิม และนี่คือ DLSS เทคโนโลยีแห่งยุคของชาวเกมเมอร์ด้วยพลัง AI

DLSS คืออะไร? ทำไมถึงเป็นอนาคตของวงการเกม?

ในยุคที่ความละเอียด 4K และเฟรมเรท 60 FPS กลายเป็นมาตรฐานใหม่ การ์ดจอระดับท็อปเท่านั้นถึงจะสามารถประมวลผลภาพ 4K แบบ Native ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การ์ดจอระดับท็อปก็มักมาพร้อมกับราคาที่สูงลิ่ว Nvidia จึงพัฒนาเทคโนโลยี DLSS ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้

ย้อนกลับไปในปี 2018 Nvidia เปิดตัวการ์ดจอ RTX 20 Series ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Ray Tracing และ DLSS ซึ่งใช้ชิป Tensor Core ที่ออกแบบมาเพื่อประมวลผล AI โดยเฉพาะ หลักการทำงานของ DLSS คือการลดจำนวนพิกเซลที่การ์ดจอต้องคำนวณลง แล้วใช้ AI มาช่วยคำนวณและเติมเต็มพิกเซลที่ขาดหายไป

ตัวอย่าง: หากคุณเล่นเกมที่ความละเอียด 4K (3840x2160) DLSS อาจจะให้การ์ดจอเรนเดอร์ภาพที่ความละเอียด 1080p (1920x1080) จากนั้น AI จะเข้ามาเติมเต็มพิกเซลให้เป็น 4K ผลลัพธ์คือภาพที่ใกล้เคียง 4K Native แต่ได้เฟรมเรทเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ DLSS ยังช่วยลบขอบหยัก (Anti-aliasing) ไปในตัวอีกด้วย

ข้อจำกัดของ DLSS รุ่นแรก: ในเวอร์ชันแรก DLSS ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น รองรับเฉพาะบางเกม ผู้พัฒนาเกมต้องส่งเกมไปให้ Nvidia เพื่อเทรน AI เฉพาะเกมนั้นๆ ทำให้เสียเวลา ภาพที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย

หลายคนจึงมองข้าม และไม่เลือกใช้ DLSS จนกระทั่ง (3) ปี 2020 Nvidia เปิดตัว RTX 30 Series พร้อมอัปเดต DLSS เป็นเวอร์ชัน 2.0

DLSS 2.0: ปรับปรุงครั้งใหญ่ ไร้ข้อจำกัดเดิม

Nvidia ได้ปรับปรุง DLSS 2.0 โดยเปลี่ยนวิธีการคำนวณ จากเดิมที่คำนวณเฟรมต่อเฟรม มาเป็นการใช้เฟรมก่อนหน้าเป็นหลัก แล้วใช้ AI คาดเดาและคำนวณเฟรมปัจจุบันแทน ทำให้ผู้พัฒนาไม่จำเป็นต้องส่งเกมไปเทรน AI ทีละเกมอีกต่อไป DLSS 2.0 จึงรองรับเกมได้หลากหลายมากขึ้น และยังเพิ่มคุณภาพของภาพด้วย Temporal Feedback

การตั้งค่า DLSS 2.0:

DLSS 2.0 เพิ่มตัวเลือกการปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของผู้เล่น แบ่งเป็น:

  • Quality: เรนเดอร์ที่ 66.7% ของความละเอียดจริง (4K เรนเดอร์ที่ 2560x1440)
  • Balanced: เรนเดอร์ที่ 58% ของความละเอียดจริง (4K เรนเดอร์ที่ 2227x1253)
  • Performance: เรนเดอร์ที่ 50% ของความละเอียดจริง (4K เรนเดอร์ที่ 1920x1080)
  • Ultra Performance (เพิ่มมาใน DLSS 2.1): เรนเดอร์ที่ 33.3% ของความละเอียดจริง (4K เรนเดอร์ที่ 1280x720)

การเลือกโหมดขึ้นอยู่กับความต้องการ หากเน้นเฟรมเรทสูงสุด ปรับเป็น Ultra Performance แต่ภาพอาจไม่ชัดเท่าโหมดอื่น อย่างไรก็ตาม ภาพที่ได้ก็ยังชัดกว่าการลดความละเอียดทั้งหมดลง

ความเห็นส่วนตัวของผมถ้าใครใช้จอความละเอียดที่ 1080p (1920x1080) ถ้าจะใช้งาน DLSS ก็ให้เลือกไปที่ Quality เลยแต่เอาตรงๆก็ยังรู้สึกถึงความภาพเบลอลงอยู่ถ้าแนะนำจริงๆจะให้ใช้งาน 

DLAA จะดีเสียกว่าซึ่งเดี๋ยวจะพูดถึงต่อจากนี้ ส่วน DLSS ส่วนตัวผมแล้วผมรู้สุกว่าจะทำงานได้ดีกับจอที่ความละเอียดสูงกว่านั้น เช่น 4K (3840 x 2160) ต่อให้ปรับลงมาที่ Performance ภาพ

ก็ยังคมชัดอยู่ระดับหนึ่งเลย และด้วยตามหลักแล้วการเลือกโหมด Performance มันคือการเรนเดอร์จริงที่ 50% ของจอเรานั่นก็หมายความว่าเราให้การ์ดจอเรนเดอร์ที่ความละเอียด FullHD 

แต่ DLSS ช่วยแปลงให้เป็น 4K แถมได้ FPS ที่ใกล้เคียงกับตอนเล่นจอ FullHD อีก ถือว่าโอเคมากๆเลย

DLAA: ลบรอยหยักด้วย AI

ในปี 2021 Nvidia ได้เปิดตัว Deep Learning Anti-Aliasing (DLAA) ซึ่งนำเทคนิค AI มาใช้ในการลบรอยหยัก (Anti-Aliasing) โดยเฉพาะ แต่ DLAA จะไม่ลดความละเอียดในการเรนเดอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการภาพคมชัด โดยไม่ต้องการ Upscaling แต่ยังอยากใช้พลัง AI

DLSS 3.0 และ Frame Generation: ก้าวสำคัญแห่งวงการเกม

ในปี 2022 Nvidia เปิดตัวการ์ดจอ RTX 40 Series พร้อม DLSS 3.0 ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Frame Generation ซึ่งถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง เพราะสามารถเพิ่มเฟรมเรทได้โดยที่การตั้งค่าอื่นๆ ยังคงเดิม และเป็น Exclusive เฉพาะ RTX 40 Series ขึ้นไป

Frame Generation ทำงานอย่างไร?

Frame Generation ได้รับแรงบันดาลใจจากเทคนิค Motion Interpolation ที่มักพบใน Smart TV  ที่จะสร้างเฟรมภาพแทรกระหว่างเฟรมจริง เพื่อให้ภาพดูลื่นไหลขึ้น ตัวอย่างเช่น หากมีภาพรถวิ่งจากซ้ายไปขวา Motion Interpolation จะสร้างภาพรถอยู่ตรงกลางเพิ่มเข้าไป  Frame Generation ของ Nvidia ก็ใช้หลักการเดียวกัน โดยใช้ AI คำนวณเฟรมแทรก ทำให้เฟรมเรทเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยภาพยังคงสวยงาม

ข้อควรระวัง: การเปิด Frame Generation, DLSS หรือ Upscaling อื่นๆ อาจทำให้เกิด Latency หรือความหน่วงเล็กน้อย แต่ Nvidia มีเทคโนโลยี NVIDIA Reflex ที่ช่วยลดความหน่วงได้มากถึง 28%

ตัวอย่างการใช้งานจริงกับ MSI GeForce RTX™ 4070 Ti Super GAMING X SLIM

  • Cyberpunk 2077 (4K, Ray Tracing Overdrive):

    • (11) ไม่ใช้ Upscaling: ประมาณ 10 FPS
    • DLSS Quality: เพิ่มเป็น 25-30 FPS
    • (12) DLSS Performance + Frame Generation: เล่นได้ที่ 60 FPS อย่างสบายๆ

หมายเหตุ: ไม่ใช่ทุกเกมที่มี Frame Generation ส่วนใหญ่จะมากับเกมที่รองรับ DLSS 3.0 ขึ้นไป

การอัปเดต DLSS และการใช้งาน MOD

ปัจจุบัน DLSS อัปเดตถึงเวอร์ชัน 3.8 แล้วและยังมาพร้อม Ray Reconstruction ช่วยแก้ปัญหาภาพเพี้ยนเมื่อใช้ DLSS กับ Ray Tracing และใช้งานได้กับการ์ดจอ RTX ทุกรุ่น

สำหรับเกมที่รองรับ DLSS เวอร์ชันเก่า (เช่น 2.0) ผู้เล่นสามารถดาวน์โหลดไฟล์ DLSS เวอร์ชันใหม่กว่ามาแทนที่ได้ หรือบางเกมที่ไม่มี DLSS ก็สามารถใช้ MOD เพื่อเพิ่มเข้าไปได้เช่นกัน

ส่วนวิธีลงก็ให้ทุกคนไปดาวน์โหลดไฟล์ DLSS เวอร์ชั่นใหม่และนำไปทับไฟล์เดิมที่อยู่ในเกมได้เลยครับโดยไฟล์ดังกล่าวจะใช้ชื่อว่า nvngx_dlss.dll ซึ่งการอัพเดตเวอร์ชั่นนี้จะเห็นผลอย่างมาก

ในเกมที่ใช้ DLSS เวอร์ชั่นเก่าๆ ที่ไม่เพียงแค่ภาพจะชัดขึ้นแต่อาจจะทำให้ FPS เพิ่มขึ้นด้วย

อัพเดตเวอร์ชั่น DLSS ในเกม Red Dead Redemption 2 นอกจากจะได้ภาพที่ชัดขึ้นยังได้ FPS ขึ้นมาด้วย

 

 

แชร์เรื่องนี้:
FitcherTZ
FitcherTZ

Content Writer

เรื่องที่เกี่ยวข้อง