รีวิว Ninja Gaiden 2 Black

Story - เรื่องราวเดิม เสริมความมันส์ แต่ทิ้งคำถามให้ผู้เล่นใหม่ (4.6)
1 ปีหลังจากเหตุการณ์นองเลือดใน Ninja Gaiden ภาคแรก ณ ใจกลางกรุงโตเกียว ในร้านของ Muramasa เจ้าหน้าที่ CIA สาวชื่อ Sonia กำลังออกตามหา Ryu Hayabusa ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ระหว่างที่พูดคุยกัน Black Spider Ninja Clan ก็ได้เข้าจู่โจม Sonia อย่างรวดเร็ว แต่เธอพลาดท่าและโดนจับได้ ทันใดนั้น Ryu ก็ได้ปรากฎตัวออกมาเพื่อช่วยเหลือ Sonia เมื่อทั้ง 2 ได้พูดคุยกันก็ทำให้ Ryu ได้รู้ว่า Genshin หัวหน้าของ Black Spider Ninja Clan ได้ร่วมมือกับ Elizebet Queen of the Greater Fiends ถล่มหมู่บ้าน Hayabusa เพื่อขโมยรูปปั้นปีศาจ และใช้มันคืนชีพจอมมาร Archfiend Vazdah ขึ้นมาเพื่อปกครองโลกทั้งใบ
เนื้อเรื่องของ Ninja Gaiden 2 Black ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลยถ้าเทียบกับภาคต้นฉบับ เพราะฉะนั้นการเล่าเรื่องการเลยเหมือนเดิม ขอเสียเดิมก็เลยตามมาด้วยไม่ว่าจะเป็นการที่เกมรีบเล่าเกินไปและไม่ได้ลงรายละเอียดมากจนทำให้ผู้เล่นที่มาเล่นเกมภาคนี้เป็นครั้งแรกอาจไม่เข้าใจสถานการณ์ ว่าเรากำลังสู้กับอะไร ? แล้วทำไมถึงต้องมาสู้กัน ทำให้ใครที่ไม่ได้เล่น Ninja Gaiden ภาคแรกมาก่อนต้องมึนกันบ้างในช่วงแรก
ถึงอย่างงั้นใจความสำคัญของเนื้อเรื่อหลักคุณก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก มีบันทึกหรือเอกสารต่าง ๆ ที่คอยอธิบายที่มาที่ไปและเป้าหมายของแต่ละฝ่าย แต่สุดท้ายคุณก็จะไม่อินไปกับมัน เพราะคุณไม่ได้เล่นเกมภาคแรกมาก่อน บางตัวละครใส่เข้ามาเพื่อ Service แฟน ๆ เท่านั้นบทค่อนข้างจาง ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรมากนัก ทำให้เราไม่ได้เห็น Character Development ของตัวละครหลาย ๆ ตัวเลยแม้กระทั่ง Ryu Hayabusa เริ่มเกมเป็นยังไง จบเกมก็เป็นอย่างงั้น คือถ้าใครมาเล่นแล้วคาดหวังว่าจะได้ Message อะไรบางอย่างจากเนื้อเรื่องขอเกมนี้ ผมบอกเลยครับว่าไม่มี เพราะเกมมันสู้เอามันส์กันอย่างเดียวเลย
ถ้าใครเป็นคนที่ชอบเสพเนื้อเรื่องผมบอกได้เลยว่า Ninja Gaiden 2 Black อาจจะสนุกในยุคของมัน แต่ถ้าเทียบกับเกมอื่น ๆ ในปี 2024 หรือ 2025 ผมค่อนข้างเฉย ๆ และรู้สึกว่ามันน่าเบื่อซะด้วยซ้ำ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเกมมีขึ้นก็เพื่อให้เราไปต่อสู้แค่นั้นเลย ซึ่งผมเข้าใจได้เพราะรู้อยู่แล้วว่า Ninja Gaiden 2 ไม่ได้เด่นด้านเนื้อเรื่อง แต่เป็นเกมการเล่นต่างหาก
Gameplay - โหด มันส์ สะใจ แต่ไร้ความปรานี (8)
Ninja Gaiden 2 Black คือเกมแนว Action Hack & Slash ตะลุยด่านผ่าน Chapter ไปเรื่อย ๆ ตามสไตล์ Ninja Gaiden แน่นอนว่า DNA ความมันส์ เดือด เลือดสาดจากภาคต้นฉบับในปี 2008 ยังอยู่ครบเหมือนเดิม หัวใจสำคัญของเกมเพลย์ในภาคนี้ก็คือตัวละคร Ryu Hayabusa และตัวละครอื่น ๆ ที่เราจะได้เล่น สามารถฟันศัตรูให้ขาดเป็นชิ้นได้ด้วยอาวุธต่าง ๆ ที่เรามีไม่ว่าจะเป็น Dragon Sword, Tonfa หรือ Lunar Staff อันนี้ก็เป็นจุดที่ผมชอบมากเพราะนอกจากอวัยวะขาดแล้ว เลือดสามารถกระเด็นไปติดตามพื้นหรือกำแพงได้ด้วย คนที่ชอบอะไรโหด ๆ น่าจะถูกใจจุดนี้ เวลาศัตรูอวัยวะขาดผู้เล่นสามารถใช้ท่าของอาวุธต่าง ๆ ปิดฉากพวกมันได้ด้วย แต่ก็มีบางตัวที่อวัยวะขาดมันก็ยังสู้ไม่ถอยถ้าเราปล่อยผ่านหรือเผลอมันก็อาจฆ่าตัวตายระเบิดตัวเองไปพร้อมกับคุณ
ที่ชอบสุด ๆ ก็คงนี้ไม่พ้นท่า Ultimate Techniques เป็นการชาร์จสำหรับใช้ท่าโจมตีหนักในแต่ละอาวุธ เมื่อกดชาร์จและปล่อยจะทำให้คุณสามารถโจมตีศัตรูได้อย่างรุนแรงและต่อเนื่องสุด ๆ และจะแรงสุดก็ตอนที่ชาร์จจนเต็ม แต่ละอาวุธนั้นมีท่วงท่าการโจมตีที่ต่างกันออกไปบางอันโจมตีเป็นวงกว้างได้ดี หรือบางอันก็เน้นทำดาเมจแรง ๆ กับศัตรูตัวเดียว
นอกจากนี้ยังมีอาวุธระยะไกลอย่างธนู, ดาวกระจายสำหรับใช้จัดการศัตรูในระยะไกล และ Nippo อธิบายง่าย ๆ ก็วิชานินจาของ Ryu Hayabusa นั่นแหละ ซึ่งจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อผู้เล่นเก็บ Ki Essence มาเติม Ki Gauge ลูกแก้วสีแดงด้านใต้ HP ทุกการใช้ Nippo 1 ครั้ง จะทำให้ Ki Gauge หายไป 1 อัน แต่ละวิชาก็มีความรุนแรงและการใช้งานที่ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่นของคุณ
ในด้านของการเคลื่อนไหวผู้เล่นสามารถบังคับให้ Ryu Hayabusa ใช้ท่วงท่าต่าง ๆ แบบที่นินจาทำได้ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งไต่กำแพง, วิ่งบนผิวน้ำ หรือกระโดดเหยียบหัวศัตรูเพื่อหลบการโจมตีก็ทำได้หมด ซึ่งการที่จะเล่นเกมนี้ให้เก่งได้คุณต้องคิดแบบนินจา เพราะศัตรูในเกมนี้ฉลาดพอสมควรและสามารถผสานการโจมตีที่ทำให้คุณลำบากได้อย่างพวกโจมตีระยะประชิดก็จะเดินเข้าจ้วงคุณอย่างเดียว ในระหว่างพวกที่โจมตีระยะไกลก็จะใช้ดาวกระจายปาใส่ไล่บี้คุณไม่หยุด คุณไม่สามารถยืนฟันนิ่ง ๆ ได้ ต้องคอยเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
เวลาที่ผู้เล่นได้รับความเสียหาย หลอด HP ของผู้เล่นจะมีแถบสีแดงปรากฎขึ้นที่ด้านขวา ตรงนี้คือความเสียหายถาวรที่เกิดขึ้นในระหว่างการต่อสู้ แม้ผู้เล่นจะเคลียร์พื้นที่ตรงนี้ได้แล้วความเสียหายตรงนี้ก็ยังคงอยู่ มันทำให้ HP ของผู้เล่นน้อยลงนั่นเอง การจะแก้ได้ก็คือการใช้ Save Statues (จุดเซฟของเกมนี้) และยารักษา ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ทำให้เกมมีความยากขึ้นในระหว่างที่ต่อสู้อยู่
เมื่อผู้เล่นจัดการศัตรูจะได้รับสิ่งที่เรียกว่า Essence ซึ่งมีทั้งหมด 3 สีได้แก่
- Ki Essence สำหรับชาร์จ Ki Gauge เพื่อใช้วิชานินจา
- Gold Essence เงินในเกม
- Health Essence ที่สามารถฟื้นฟูชีวิตจากความเสียหายถาวรได้
ในระหว่างทางเกมจะวางจุดเซฟ กับ Muramasa Shop ร้านค้าสำหรับซื้อไอเทมและอัปเกรดอาวุธไว้ตลอดทาง ทรัพยากรที่ใช้ซื้อและอัปเกรดอาวุธก็คือเงินที่หาได้จากการฆ่าศัตรูเนี่ยแหละ การอัปเกรดอาวุธมีทั้งหมด 3 ขั้น นอกจากทำให้อาวุธโจมตีแรงขึ้นแล้ว ยังปลดล็อกคอมโบใหม่ให้คุณใช้และเพิ่มท่วงท่าใน Ultimate Techniques อีกด้วย นี่ก็คือเกมเพลย์หลัก ๆ ของ Ninja Gaiden 2 Black
แม้ภาพจะสวยขึ้นด้วยเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน แต่มุมกล้องของเกมนี้ยังคงเหมือนกับภาคต้นฉบับ ครั้งแรกที่เล่นผมก็ไม่ชินกับมุมกล้องแบบนี้เหมือนกัน สักพักก็พอปรับตัวได้ มุมกล้องมันไม่ได้อิสระมากเท่าไรนัก ทำให้เวลาที่ต่อสู้กับศัตรูเยอะ ๆ มุมกล้องไม่สามารถทำให้เราเห็นการโจมตีจากศัตรูที่อยู่ไกล ๆ, บางฉากตัวละครเราไวเกินไปกล้องก็ตามไม่ทัน หรือบางจุดฉากก็แคบจนทำให้เราไม่ตัวละครก็มีเหมือนกัน ทั้งหมดนี้ส่งผลให้การเล่นของเราลำบากและมีโอกาสพลาดได้เยอะกว่าปกติ
อีกอย่างที่ผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ก็คือ ระดับความเก่งของศัตรู ผมเล่นเกมนี้ที่ระดับความยากกลาง ๆ จะได้ไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไป แต่ผมรู้สึกว่าในบางฉากศัตรูหรือบอสมันก็เก่งเกินหน้าเกินตาในระดับที่สามารถรุมยำจนเราไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย เพื่อให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างเช่นตอนที่ผมสู้กับบอสที่ชื่อว่า Godomof บอสตัวยักษ์ที่แค่ใหญ่ไม่พอยังมีลูกกระจ๊อกชื่อว่า Mecha Fiend ที่ความสามารถครบเครื่องมากทั้งตีใกล้ ตีไกลมีครบ และด้วยมุมกล้องแบบนี้ศัตรูสามารถโจมตีผมได้จากทุกทิศทาง ถ้าผมเลือกไปตี Godomof เจ้าพวก Mecha Fiend ก็จ้องจะเล่นผมจากมุมอับ เข้ามาตีแต่ละทีไม่มีเวลาให้หยุดพัก ผมเข้าใจว่า Ninja Gaiden ขึ้นชื่อเรื่องความยากอยู่แล้ว แต่ช่วงที่ผมสู้กับบอสตัวนี้เป็นช่วงที่ผมไม่สนุกที่สุดเพราะเกมมันไม่แฟร์ใส่ศัตรูที่ฆ่ายาก ๆ เข้ามาในฉากเดียวกัน บอสก็ต้องสู้ ทรัพยากรเช่นพวกยาหรือ Nippo ก็มีจำกัด กว่าจะผ่านได้ก็ตายไปหลาย 10 รอบเลย เทียบกับบอสตัวอื่นที่เก่งและมีความสามารถมากกว่ายังสู้สนุกกว่า แถมแค่รอบเดียวก็ผ่านได้สบาย ๆ
ในด้านเกมการเล่น Ninja Gaiden 2 Black ต่างกับภาคต้นฉบับอย่างแรกคือจำนวน Chapter ภาคต้นฉบับมี 14 Chapter ส่วนฉบับ Remastered มี 17 Chapter นั่นก็เป็นเพราะว่าในเกมฉบับล่าสุดมีตัวละครอื่น ๆ ให้เล่นด้วยอย่าง Ayane, Momiji และ Rachel
มีการปรับปรุง UI ของเกมให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น, เพิ่มระดับความยากและบอสใหม่ที่ไม่มีในเกมต้นฉบับแต่ก็ตัดบอส 2 ตัวจากใน Ninja Gaiden Sigma 2 ที่ลงให้กับเครื่อง PS3 ทิ้งไป สำหรับผมตัดทิ้งไปก็ดีเพราะเกมจะได้กระชับและไม่ยืดเกินความจำเป็น
แม้จะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก แต่เกมเพลย์ที่เป็นหัวใจหลักของเกมทำออกมาได้ดีแบบที่ผมคาดหวังจะติดก็แค่เรื่องมุมกล้องกับเรื่องระดับความยากของศัตรูในเกมที่มันไม่คงเส้นคงวาเอาซะเลย ขอให้เรื่องแบบนี้ไม่มีใน Ninja Gaiden 4 ด้วยเถอะ
Sound Design - เหมือนเดิมจากต้นฉบับที่อาจไม่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน (6)
ในด้านของ Sound Design ของ Ninja Gaiden 2 Black ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยจากภาพต้นฉบับ ไม่ว่าจะเป็น Dialogue, Sound Effect หรือ Score Music ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ถ้าจะให้หาความต่างจริง ๆ มันก็มีอยู่ในความรู้สึกของผมคือเรื่องของความดัง-เบา ของพวก Foley Sound ยกตัวอย่างเช่น เสียงขว้างดาวกระจายในฉากคัตซีนภาคต้นฉบับดัง แต่พอเป็น Remastered กลับเบาลงซึ่งตรงนี้มันก็แล้วแต่คนว่าจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ผมไม่ได้มองว่าเป็นข้อเสียอะไรแค่อยากชี้ให้เห็นว่ามันมีความแตกต่างกันบ้างในบางจุด แต่จุดเด่นเรื่อง Sound Desing ของเกมนี้ไปอยู่ตรงที่การสร้างบรรยากาศระหว่างการต่อสู้แทน องค์ประกอบโดยรวมทำให้เกมการเล่นสนุกขึ้น เสียงอาวุธที่ไปกระทบกับเนื้อหนังและฉีกร่างของศัตรูให้เป็นชิ้นมันฟินสุด ๆ แน่นอนว่า Sound Desing ตรงนี้ทำหน้าที่ของมันได้ดี
ถ้าเอาความชอบในปัจจุบันของผมเป็นตัวตั้ง จุดที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไรก็คือเรื่องเสียงพากย์ที่ค่อนข้างไร้อารมณ์ของตัวละครแต่ละตัวในเกมมันเหมือนเราดูคนมาท่องบท ปัญหานี้มันก็เป็นมาตั้งแต่ภาคต้นฉบับแล้ว แค่เมื่อก่อนผมไม่ได้ใส่ใจมันขนาดนั้น เล่นเอามันส์อย่างเดียว แต่พอเวลาผ่านไปเราโตขึ้น เราได้เห็นเสียงพากย์ที่มันถึงอารมณ์ผ่านเกมดี ๆ มากมาย มันเลยทำให้เรารู้ว่าเสียงพากย์ที่ดีมันเป็นยังไง ส่วนดนตรีประกอบภาพรวมมันออกในแนวทางเดียวกันหมดคือสร้างความตื่นเต้นในฉากแอ็คชันใส่นัวกันมันส์ ๆ พอถึงช่วงคัตซีนที่ตัวละครแค่ยืนคุยกันเพลงเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ บรรยากาศมันดูโล้น ๆ จุดนี้ก็ทำให้ผมนึกถึง Wanted Dead เกมแอ็กชันตกม้าตายโดนฝังลืมแห่งปี 2023 อยู่เหมือนกัน โชคดีที่อาการไม่หนักเท่าไรรายนั้น
Performance - เปลี่ยน Engine ได้น่าประทับใจ (9.2)
สำหรับใน Ninja Gaiden 2 Black คือผลงานที่นำเกมภาคต้นฉบับจากในปี 2008 มาปรับปรุงกราฟิกและเนรมิตแสงเงาให้สมจริงยิ่งขึ้นด้วย Unreal Engine 5 คือถ้าให้เทียบกับเกมภาคต้นฉบับก็ต้องบอกเลยว่าดูดีกว่าเดิมเยอะ Texture คมชัดและละเอียดกว่าเดิมหลายเท่า ช่วยเพิ่มอรรถรสระหว่างการต่อสู่ได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะเวลาฟันกันเลือดสาด นอกจากนี้สีสันยังมีความสดมากขึ้น มีความมันวาวบนชุดของตัวละคร โทนภาพโดยรวมเลยไม่ค่อยหมนเหมือนกับในภาคต้นฉบับ ๆ แถมระบบฟิสิกซ์กับ Particle Effect ไม่แข็งและดีกว่าภาคต้นฉบับ
ในการเล่น Ninja Gaiden 2 Black ด้วย Xbox Series X ประสบการณ์ที่ผมได้รับถือว่าดีเลย เพราะเกมไม่ค่อยมีปัญทางด้านเทคนิคที่ทำให้คนเล่นอย่างเรารู้สึกหงุดหงิด เต็มที่ก็มีแค่ศัตรูเดินติดอะไรบางอย่างจนไม่สามารถมาหาผู้เล่นได้ เฟรมเรตร่วงภาพกระตุกพอมีให้เห็นบ้างในจังหวะที่ศัตรูมาเยอะๆ แต่ถ้าไม่มานั่งจับผิดก็แทบไม่รู้สึกอะไรเลย น่าเสียดายตรงที่ต่อให้ภาพสวยขึ้นกว่าเดิมมากแค่ไหน แต่แอนิเมชัน การขยับร่างกาย หรือสีหน้าท่าทางของตัวละครหลาย ๆ ตัวมันดูแข็งไปสำหรับเกมในยุคนี้
ตัวเกมไม่มีโหมดตั้งค่ากราฟิกเพราะเกมเวอร์ชันคอนโซลจะล็อกมาให้แล้ว ตัวเกมสามารถแสดงความละเอียดได้สูงสุดที่ 4K (แบบ Upscale) / 60 FPS หรือ 1080p / 120 FPS ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับสเปกจอของคุณว่ารองรับความละเอียดและ Refresh Rate ได้มากขนาดไหนนั่นเอง โดยรวมถือว่าทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน หลังจากที่ได้เล่นเกมภาคนี้ มันก็ทำให้ผมเข้าใจเลยว่า Ninja Gaiden 4 ที่ใช้ Unreal Engine 5 เช่นเดียวกัน ความสวยงามของภาพจะไม่ต่ำลงไปกว่า Ninja Gaiden 2 Black อย่างแน่นอน