
Overview
ด้วยความที่ผมสัมผัสกับโลกของ Star Wars มามากมายไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน หรือแม้กระทั่งวิดีโอเกม การได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกของ S tar Wars เลยเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับ ย้อนกลับไปในปี 2012 เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นตัวอย่างและเกมเพลย์ของ Star Wars 1313 ผลงานเกม Action-Adventure ที่การต่อสู้จะไม่พึ่งพา Force หรือ Lightsaber แต่เน้นใช้อาวุธปืนและอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่สุดท้ายโปรเจกต์นี้ก็โดนยกเลิกไป ผมก็ได้แต่ว่าวันหนึ่งเราจะได้เล่นเกม Star Wars ที่มีรูปแบบการเล่นแบบนี้สักครั้งก็คงดีไม่น้อย จนกระทั่งการมาของ Star Wars Outlaw
Star Wars Outlaw เป็นผลงานเกมที่พัฒนาโดย Massive Entertainment สตูดิโอเกมที่มีผลงานชื่อดังมากมายไม่ว่าจะเป็น Tom Clancy’s The Division ทั้ง 2 ภาค และ Avatar: Frontiers of Pandora แล้วในปี 2024 Star Wars Outlaw ก็ได้วางจำหน่ายออกมาแล้ว และพวกเรา Gamer Inside ก็ได้ไปลองสัมผัสกับโลกของ Star Wars Outlaw เป็นที่เรียบร้อย จะดีพอสมการรอคอยหรือเปล่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Gamer Inside และนี่คือ Star Wars Outlaw Gamer Inside Review
Story (5)
เหตุการณ์ใน Star War Outlaw เกิดขึ้นหลังในระหว่าง Star Wars Empire Strike Back และ Return of the Jedi ในเกมภาคนี้จะเล่าเรื่องราวการผจญภัยของ Kay Vess หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในเมือง Canto Bight บนดาว Cantonica โดยตัวของ Kay Vess นั้นเป็นคนที่อยู่ในชนชั้นล่างของดาวดวงนี้เลี้ยงชีพด้วยการลักขโมยมาตั้งแต่เด็ก และอาศัยอยู่กับ Bram Shano บาร์เทนเดอร์และเจ้าของร้าน The Broken Hoof นอกจากเป็นบาร์เทนเดอร์แล้วเขายังเป็นนายหน้าหางานผิดกฎหมายมาให้ Kay ทำอีกด้วย
Kay Vess ต้องการชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม และได้รับงานใหม่ที่ได้มาจาก Bram ซึ่งเธอก็มองว่านี่อาจเป็นงานที่ทำให้เธอมีโอกาสได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ได้ จนเธอได้รับงานหนึ่งมาและไปเจอกับ Denion หนึ่งในสมาชิกของ Ravel Aliance ที่วางแผนจะเข้าไปในห้องนิรภัยของ Sliro ผู้นำของ Zerek Besh องค์กรอาชญกรรมสุดอันตราย เหตุการณ์กลับตาลปัตรไม่เป็นแบบที่ Kay คิดเอาไว้ แต่ก็สามารถเอาตัวรอดและหนีออกมาจากดาว Cantonica ได้ในที่สุด เหตุการณ์นี้ก็ทำให้ Sliro ไม่พอใจเป็นอย่างมากและเริ่มตามล่า Kay และตัวของเธอก็ได้เข้าไปพัวพันกับองค์กรอาชญกรรมมากมายในโลกใต้ดินของจักรวาล Star Wars
ต้องบอกว่าเรื่องราวใน Star Wars Outlaw เป็นอะไรที่ผมเคยเห็นมาแล้วทั้งนั้นกับตัวเอกที่สิ้นหวังกับการถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว และต้องการหนีออกไปจากโลกเดิม ๆ ที่ตัวเองอยู่ ผมมองว่ามันเป็นการใช้ซ้ำที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไรนัก และคิดว่าแฟน ๆ Star Wars ก็คงเบื่อเหมือนกัน แต่ว่าตั้งแต่ดูหนังหรือเล่นเกม Star Wars มาผมคิดว่าตัวละคร Kay Vess เป็นตัวละครที่น่าเอาใจช่วยน้อยที่สุดแล้วเพราะว่าภูมิหลังของตัวละครนี้ค่อนข้างเบาไปเยอะมาก ทั้งเรื่องของสังคมและชนชั้นในเมือง Canto Bight ที่มีแต่คนชนชั้นสูง มีอำนาจ มาใช้บริการคาสิโน เราก็ไม่ได้เห็นความลำบากของตัวละครมากมายนัก ถึงแม้ในระหว่างการเล่นจะมีการตัดสลับ Flashback เพื่อให้เห็นสิ่งที่ Kay Vess ต้องเจอมาตลอด แต่มันไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้เราเอาใจช่วย รวมไปถึงการแสดงสีหน้า แววตาของ Kay Vess มันหน้าเดียวตลอดทั้งเกม ทำให้อารมณ์ส่งมาไม่ถึงคนเล่นเลย แต่ก็มีบางตัวละครที่ต้องยอมรับว่าทำได้ดีเลยแต่ก็แค่จุดพีคของเรื่องราวใน Star Wars Outlaw เพียงเท่านั้น นอกจากตัวละครหลักที่ค่อนข้างจืดแล้วตัวละครสมทบก็จืดพอ ๆ กันไร้มิติ ความต้องการและเหตุผลในการกระทำมันค่อนข้างธรรมดามากอย่างการล้างแค้น หรือ อยากมีอำนาจ
ผมเป็นอีกหนึ่งคนที่มองว่าการจะสร้างอะไรในโลกของ Star Wars ไม่ต้องมี Jedi หรือ Sith ก็ได้แค่เขียนบทและการดำเนินเรื่องราวให้มันดีก็พอแบบ The Mandalorian, Andor หรือ Star Wars: The Bad Batch ที่ผูกปมดีตั้งแต่เริ่ม เพิ่มจุดขัดแย้งให้น่าสนใจ และหัวใจที่ใส่ลงไปในตัวละคร ซึ่งระหว่างการเล่นผมไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เลยใน Star War Outlaw
จุดดีอย่างหนึ่งในการนำเสนอเรื่องราวของ Star Wars Outlaw ก็คือการที่เกมเป็น Open World มันทำให้เราได้สำรวจเรื่องราวในแต่ละส่วนได้ อย่างการที่คนธรรมดาถูกกดขี่โดยจักรวรรดิ์ หรือความขัดแย้งในแต่ละองค์กร คือสำหรับผมเกมนนี้มันให้ได้แต่ Lore ของ Star Wars อย่างเดียวเลย ถ้าใครอยากเล่นเกมนี้เพื่อเสพเรื่องราวที่ต่างไปจากเดิมผ่านตัวละคร Kay Vess สำหรับผมเกม Star War Outlaw ไม่ตอบโจทย์ในแง่นี้สักเท่าไร
แล้วหน้าตาตัวละคร Kay Vess ที่ไม่ถูกใจเกมเมอร์หลายคนจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ สำหรับผมในโลกของ Star Wars ที่มีเอเลี่ยนหน้าตาแปลก ๆ มากมาย ผมไม่ได้ติดใจกับเรื่องนี้ตั้งแต่เห็นตัวอย่างแรกของเกม มันแค่ไม่น่าดึงดูดก็เท่านั้นเอง บางคนอาจมองว่าหน้าตัวละครจืด แต่ผมบอกเลยว่าเนื้อเรื่องในเกมนี้จืดกว่าหน้าตาตัวละครซะอีก
Gameplay (5.5)
Star Wars Outlaw นำเสนอเกมการเล่นแบบ Action Adventure ในโลก Open World คุณสามารถเดินทางไปยังดวงดาวต่าง ๆ ได้อย่างอิสระไม่ว่าจะเป็น Tatooine, Cantonica หรือ Toshara โดยในแต่ละดาวก็มีสภาพแวดล้อมที่ต่างกันออกไป ดาวบางดวงมีขนาดแผนที่ ๆ ค่อนข้าใหญ่มีจุดให้สำรวจมากมาย แต่บางดาวคุณสามารถสำรวจได้แต่ในเมืองเพียงเท่านั้น และอย่างที่บอกไปว่าเกมภาคนี้ไม่ได้นำเสนอการต่อสู้ที่ใช้ Lightsaber แต่เน้นไปที่ปืน Blaster เพียว ๆ ผสมผสานเข้ากับการเล่นแบบ Stealth พอ Star Wars ไม่มี Lightsaber แล้ว แน่นนอว่าศัตรูที่คุณจะได้เจอก็คือคนที่ใช้ปืน Blaster เหมือนกัน
ตัวละคร Kay Vess ใช้อาวุธเป็นปืน Blaster เป็นหลักโดยปืนของเราก็มีความสามารถในการเปลี่ยน Module เป็นกระสุนชนิดต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นการยิงในรูปแบบปกติแบบที่ทุกคนเห็นกันใน Star Wars, Ion Module กระสุน Ion ที่ยิงออกจะทำให้ Shield ของศัตรูใช้งานไม่ได้และใช้สำหรับจัดการศัตรูประเภท Droids, Power Module กระสุนที่รุนแรงที่สุดเมื่อยิงออกไปจะรุนแรงกว่าปกติและสร้างแรงเบิดได้ด้วยเหมาะใช้สำหรับจัดการศัตรูที่มาเป็นกลุ่ม และ Stunt Shot เมื่อยิงไปสามารถทำให้ศัตรูสลบได้
ตัวละครมีจะมีหลอด Adrenaline สำหรับใช้ความสามารถในการยิงศัตรูหลาย ๆ ตัวพร้อมกัน ถ้าศัตรูตัวไหนมี Shield อยู่จะยิงไม่เข้า แต่ถ้าเป็นทหารชั้นเลวทั่วไปก็ตายเรียบ พูดให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็ Dead Eye จากใน Red Dead Redemption นั่นแหละ หลอดนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยตามความกดดันของตัวละครระหว่างการต่อสู้ ถ้าไม่ได้สู้หลอดนี้ก็จะลดลงไปเอง รวมถึงยังสามารถใช้ในระหว่างขับ Speeder ได้ด้วยแต่ว่าจุดที่ไม่ดีก็คือระหว่างที่ Kay Vess ออก Action ท่ายิงเท่ ๆ มุมกล้องจะตามไม่ทันในหลายจังหวะ ทำให้เราไม่เห็นกระสุนที่พุ่งไปหาศัตรูครบตัว
ต่อมาก็คือตัวละคร Nix สัตว์เลี้ยงคู่หูสุดน่ารักที่เห็นแล้วอยากขยี้หัว เป็นตัวละครที่มีประโยชน์มาก ๆ ในระหว่างเกมการเล่นคือ Nix สามารถเข้าไปในจุดที่คุณเข้าไปไม่ได้ผ่านการมุดท่อ หรือ ช่องระบายอากาศ เพื่อเปิด-ปิดประตู, พังอุปกรณ์ไฟฟ้าตามฉากก็ทำได้ และขโมยของมาจากศัตรูก็ทำได้ นอกจากนี้ในระหว่างการต่อสู้ Nix ยังสามารถโจมตีศัตรูแล้วให้เราไป Takedown เพื่อปิดงาน, เป็นตัวล่อเพื่อดึงดูดความสนใจของศัตรู หรือใช้ความสารถ Nix Sense ความสามารถที่ใช้สำหรับเปิดเผยศัตรูในฉากทำให้เราเห็นว่าศัตรูเดินอยู่ตรงจุดไหนบ้างในบริเวณนั้น แต่เวลาที่ใช้ความสามารถนี้ในฉากที่มันสว่างผมว่ามันจางไปหน่อยเห็นไม่ค่อยชัด ถ้าใช้อยู่ในพื้นที่ปิดถือว่ามีประโยชน์พอสมควร
ส่วนต่อมาก็คือการเล่นแบบลอบเร้นที่ใส่เข้ามาใน Star Wars Outlaw ผมว่ามันก็ดีแหละที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นเลือกได้ว่าอยากจะเล่นแบบไหนก็ได้ แต่การเล่นแบบ Stealth มันไม่หลากหลายมากมายพอ แม้จะมีหญ้าให้แอบ มีท่อให้หมุด หรือพังสัญญาณเตือนภัย มันก็ไม่ท้าทายพอ รูปแบบการเล่นมันเลยมีแค่แบบในดงหญ้าผิวปากหรือใช้ Nix ดึงดูดความสนใจแล้วจัดการในดงหญ้าแบบเนียนๆ ทำแบบนี้ไปวนไปเรื่อยก็เก็บหมดยกฉากได้ แถมระยะการมองเห็นก็สั้นทำให้เราเล่นง่ายขึ้นไปอีก ที่ขัดใจผมก็คือท่า Takedown ศัตรูของ Kay Vess มันเว่อและตลกเกิน ต่อยหมัดเดียวหลับ นี่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นะทุบ Strom Trooper ทีเดียวหลับ แล้วบางท่าก็มีการยกนิ้วให้ศัตรูมองขึ้นไปข้างบน เพื่อ…. ผมว่ามันตลก คือมันทำเอาเท่น่ะทำได้แต่ทำไปเพื่ออะไร เหมือนฉากสู้ของ Reva กับ Darth Vader ในซีรีส์ Obi Wan Kenobi อ่ะ คือฉากสู้มันก็เท่อยู่แต่ก็ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร ตอนแรกคิดว่าเป็นตัวละครผู้หญิงตอนเล่น Stealth อาจใช้เครื่องช็อตไฟฟ้ามาทุ่นแรงแต่เปล่าเลย เครื่องช็อตไฟฟ้าต้องปลดล็อกเอาทีหลังสำหรับ Takedown ตัวละครบางตัวที่ถึก ๆ หน่อย
บางภารกิจก็บังคับให้เล่นแบบลอบเร้นถ้าถูกจับได้ก็ Game Over ทันที และยังมีอีกจุดหนึ่งก็คือตัวละครเราว่ายน้ำไม่ได้ บางจุดมันมีน้ำตกที่เราควรจะว่ายน้ำเข้าไปได้เพื่อเล่นแบบลอบเร้น ในความคิดผมถ้าเป็นแบบนี้ไม่ต้องใส่มาก็ได้ เป็นพื้นดินโล่งยังดีซะกว่า
อย่างที่บอกไปว่าโลก Open World ของ Star Wars Outlaw ค่อนข้างกว่าใหญ่ ก่อนเล่นผมคาดหวังว่าจะได้เจออะไรที่เกมใหม่ ๆ ที่เกม Star Wars เกมอื่นให้ไม่ได้ แต่เมื่อเล่นไปก็มีทั้งจุดที่ชอบและจุดที่ผิดหวัง จุดที่ชอบก็มีเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนภายในดาวต่าง ๆ และมีภารกิจให้ทำมากมาย แต่ว่ารูปแบบการเล่นเพื่อให้ผ่านภารกิจมันมีอยู่แค่ไม่กี่แบบก็คือบู๊ล้างผลาญกับเล่นแบบลอบเร้นเข้าไปขโมยของแบบเนียนๆ ทั้งเกมมันก็มีแค่นี้ ระบบ Reputation เป็นเหมือนของประดับ จะมีผลกับการเล่นจริงก็แค่ตอนเข้าออกในพื้นที่นั้น ๆ ถ้าหากค่าความพอใจฝ่ายนั้นเยอะเราก็เข้าไปทำภารกิจได้แบบสบาย ๆ ถ้าฝ่ายไหนพอใจก็แค่ยิงให้ตายหมดฐานก็จบแล้ว จริงการทำเกมแบบนี้เราควรได้ใช้วาทศิลป์ในการแก้ปัญหาบ้างระบบ Choice ทางเลือกก็ใส่เข้ามาแต่จะเลือกทางไหนปลายทางก็จบเหมือนเดิมอยู่ดี เควสในเกมมันเลยซ้ำซากจำเจ
เล่นมินิเกมที่อยู่ตามฉากยังสนุกกว่า มินิเกมบางอันอย่าง Kessel Sabacc ก็สนุกใช้ได้เป็นการเล่นเหมือน Poker แต่มีลูกเล่นเยอะกว่าและสามารถใช้ Nix แอบดูไพ่ของฝั่งตรงข้ามได้ แต่ถ่าถูกจับได้ก็โดนแบนออกจากเกม แล้วก็มีเล่นตู้เกมอาร์เคตด้วย ทำผมติดพวกมินิเกมอยู่นานเป็นชั่วโมงเลย
นอกจากการเดินทางสำรวจบนดาวแล้วคุณยังสามารถเดินทางไปในอวกาศด้วย ตอนแรกผมคิดว่าเราสามารถบังคับยานขึ้นออกจากดาวได้เอง แต่ที่ไหนได้มันเป็นฉากโหลดที่ค่อนข้างเนียนเลย ก็คือช่วงที่ยานของเรากำลังขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศนั่นแหละ ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดดีเพราะผมฝังจากตอน Starfield ที่มีฉากโหลดเยอะเกิน การออกแบบฉากในอวกาศผมถือว่าทำได้ดีมีอะไรให้ไปสำรวจเยอะและดีไซน์ฉากก็ถือว่าโอเคเลย แต่จุดที่ผมไม่ชอบในส่วนนี้เพียบ เท่าที่เคยได้ลองขับยานใน Star War Battlefont ทั้ง 2 ภาค และ Star Wars Squadron มาการบังคับสมจริงทีเดียว พอมาขับยานใน Star Wars Outlaw ผมถึงกับเซ็งเพราะยานมาดูไร้น้ำหนัก เลี้ยวง่าย ยิงง่าย ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ พอมันง่ายไปหมดก็น่าเบื่อ ผมว่าขับ Speeder วนตามฉากยังสนุกกว่า
ระบบการอัปเกรดใน Star Wars Outlaw ก็ไม่ได้เข้ายากอะไร คือตัวละครของคุณสามารถอัปเกรดความสามารถได้ผ่านการทำ Challenge ของตัวละครแต่ละตัวเช่นให้คุณจัดการศัตรูให้ครบ 10 ตัวคุณก็สามารถอัปเกรดสกิลต่าง ๆ ของตัวละครได้แล้ว ซึ่งตัวละครที่มี Challenge ให้คุณทำก็กระจายออกไปตามฉากและดวงดาวต่าง ๆ ส่วนการอัปเกรดปืน Blaster, Speeder หรือยาน Trailblazer คุณสามารถใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่ได้จากการสำรวจหรือซื้อจากร้านค้ามาใช้อัปเกรดได้เลย
ระบบที่น่าสนใจอีกระบบใน Star War Outlaw ก็คือ Reputation ในเกมนี้มีองค์กรอาชญกรรมมากหน้าหลายตา โดยแต่ละกลุ่มก็มีค่าความพอใจไล่ตั้งแต่ Terrible, Bad, Poor, Good และ Excellent ยิ่งค่าความพอใจเยอะคุณก็สามารถเข้าพื้นที่ของกลุ่มนั้น ๆ, ได้รับงานว่าจ้าง, ได้รับไอเทม และซื้อไอเทมจากร้านค้าได้ในราคาพิเศษ โดยค่าความพอใจจะเพิ่มหรือลดก็ขึ้นอยู่การกระทำของผู้เล่น ไม่ว่าจะเป็นการทำภารกิจ หรือ การตัดสินใจที่ทำให้กลุ่มนั้น ๆ ถูกใจแต่ถ้าค่าความพอใจของกลุ่มอาชญกรรมเหล่านี้ลดลงเมื่อไรก็ตรงข้ามกับที่พูดไปทั้งหมด โดนตามล่าสุดขอบดาว, เข้าพื้นที่ไม่ได้ หรือร้านค้าขายของแพง ซึ่งมันก็มีเท่านี้จริง ส่วนตัวผมมันน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ มันควรทำให้เราแคร์ผลของการกระทำของเราสักนิดก็ยังดี แต่ตอนที่ผมเล่นน่ะหรอ ผมไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ ยิงหมดไม่สนใจเพราะไอเทมหรือผลที่ตามมาไม่ได้ขอขาดบาดตาย
ภาพรวม Star Wars Outlaw ผมมองว่ามันก็เกมสไตล์ Ubisoft ในยุคนี้แหละ คือเล่นท่าใหญไว้ก่อน ข้างในกลวงขนาดไหนไม่สนใจ สภาพที่ออกมามันก็เลยครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบที่เห็นไปไม่สุดสักทาง แล้วด้วยความที่ไม่มี Lightsaber การออกแบบศัตรูก็เลยเป็นศัตรูที่ใช้ Blaster เหมือนกัน มันเลยทำให้เกมซ้ำซากจำเจ ยิงๆหลบๆ ก็จบได้แล้ว และบอสในเกมนี้มีก็เหมือนไม่มี
ถ้าไม่ใช่ Star Wars ผมก็คงไม่สามารถทนเล่นจนจบได้แน่ ๆ ถ้าลองลดความใหญ่ เพิ่มความซับซ้อน ทำระบบ Reputation ใหมันลึกกว่านี้ เกมอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ ถ้าอยากขยายโลกให้กว้างใหญ่ ไปทำในภาคต่อก็ยังไม่สายหรอก
Sound Design (7)
สำหรับ Sound Design ใน Star Wars Outlaw นั้นต้องบอกว่าทำออกมาได้ตามมาตรฐานแบบที่มันควรจะเป็น โดยดนตรีประกอบในเกม Star Wars Outlaw ได้คุณ Wilvert Roget II มาประพันธ์ดนตรีประกอบให้กับเกม ซึ่งเขาเคยมีผลงานมาแล้วใน Helldivers 2, Pacific Drive และ Call of Duty WWII ผลงานพี่แกรอบนี้ใน Star Wars Outlaw ถือว่าไม่เบาเลย องค์รวมมีความเป็น Star Wars แต่ความรู้สึกที่ได้นั้นมีความต่างออกไป นั่นเป็นเพราะธีมเกมที่ต่างกัน ผลงานของ Wilvert Roget II รู้สึกว่ามีความขี้เล่นผสมกับความเท่เร้าอารมณ์อย่างลงตัว เข้ากับความเป็น Star Wars Outlaw ที่ไม่ค่อยจริงจังมากได้เป็นอย่างดี และให้อารมณ์คล้ายกับ Solo: A Star Wars Story ผมมองว่าผลงานรอบนี้ Ubisoft เลือกคนไม่ผิดเพราะสิ่งที่ได้มาคือดนตรีที่มีความแตกต่างจากเกม Star Wars ของทีมอื่น ๆ
แต่สิ่งที่พลาดอย่างมากเลยคือเรื่องราวในเกมที่ดันไปไม่ถึง จังหวะในการใช้ดนตรีเพื่อบิ้วอารมณ์ถูกต้อง เพลงที่ใช้ถูกต้อง แต่บทไปไม่ถึง ต่อให้เพลงดีแค่ไหนก็ดันไปไม่ไหวจริง ๆ เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่ความผิดของดนตรีประกอบ แต่เป็นเพราะองค์ประกอบหลักอย่างการเล่าเรื่องที่ทำได้ไม่ดีแต่แรกอยู่แล้ว
การดีไซน์เสียงในแต่ Element ผมถือว่าทำออกมาได้ตรงตามความเป็น Star Wars เลยไม่ว่าจะเป็นเสียงของ Speeder, Hyperspace Jump หรือระหว่างต่อสู้ แต่ผมว่ามันธรรมดาไปหน่อยมันก็เป็นอะไรที่เราเคยได้ยินมาแล้วทั้งนั้น แต่ที่หนักสำหรับผมคือเสียงพากย์ของตัวละครเนี่ยแหละไร้อารมณ์พอ ๆ กับสีหน้าของตัวละครเลย หลายตัวละครมากที่เป็นแบบนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะตัวละคร Kay Vess
Performance (3.5)
Star Wars Outlaw ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เอนจิน Snowdrop เอนจินไม้เด็ดของ Massive Entertainment ที่สตูดิโอภายใต้ Ubisoft นำไปใช้สร้างเกมของตัวเองตั้งแต่ Tom Clancy’s The Division, The Sttlers: New Alies, Xdefiant ลากยาวมาจนถึง Avartar: Frontiers of Pandora เรียกว่าเป็นเอนจินที่ค่อนข้างยืดหยุ่น และสามารถใช้สร้างเกมได้หลากหลายเลยก็ว่าได้ การจะสร้างเกม Open World การเลือกใช้เอนจิน Snowdrop ก็เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งมันก็พิสูจน์ให้เห็นกันมาแล้วใน The Division หรือ Avartar: Frontiers of Pandora แต่ปัญหาที่เป็นมาตลอดและแก้ไม่หายของ Ubisoft ก็คือเรื่อง Performace จริง ๆ
ผมเล่น Star Wars Outlaw บน Xbox Series X โดยเกมในเวอร์ชันนี้มีโหมดกราฟิกให้คุณปรับ 2 โหมดได้แก่ Quality เป็นโหมดที่ปรับ Texture ในเกมให้คมขึ้นแต่ FPS จะถูกล็อกไว้ที่ 30 FPS แต่ถ้าเล่นบนจอ 120Hz หรือรองรับเทคโนโลยี VRR จะสามารถเล่นเกมนี้ที่ 40 FPS ได้ และโหมด Performance ก็ตรงกันข้ามกับ Quality คือปรับ Texture ให้คมน้อยลงแต่ FPS เพิ่มขึ้นเป็น 60 FPS นี่คือจุดที่แตกต่าง ส่วนคุณภาพกราฟิกไม่ว่าจะเป็นเรื่องแสงเงา, เส้นผมของตัวละคร หรือแม้กระทั่งการสะท้อนของแสงผมรู้สึกว่ามันไม่ต่างกันมากนัก เลยใช้โหมด Performance เล่นยาว ๆ ไปทั้งเกมดีกว่าเพื่อความลื่นไหลของภาพเพราะนี่คือเกมยิง จะให้มาเล่น 30 FPS ในยุคนี้ก็อาจจะไม่ถนัดสักเท่าไร แถมในโหมด Performance เกมก็ไมไ่ด้รัน 60 FPS นิ่ง ๆ ในจังหวะที่ศัตรูหรือ NPC เยอะ ๆ FPS ตกให้เห็นเป็นช่วง ๆ แล้วสำหรับใครที่ใช้จออัตราส่วน 21:9 เกมนี้ก็รองรับการแสดงผล 21:9 ด้วยทำให้ใครที่อยากดื่มดำภาพในเกมแบบเต็มตาก็ปรับภาพเป็นสเกลนี้ได้เลย
จุดที่ทำให้ผมไม่ชอบเกมนี้เลยคือเรื่องกราฟิกใน Star Wars Outlaw บนคอนโซลอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแย่ ถ้าเทียบกับสเกลเกมระดับเดียวกันยุคนี้ โดยเฉพาะในฉากเปิดพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับมัน หญ้าในเกมหยาบมาก เห็นรอยหยักได้แบบชัดเจน การสะท้อนของแสงบนผิวน้ำก็ไรมิติ มันทำให้เสียอรรถรสระหว่างเล่นไปเยอะ แถมบางครั้งระหว่างขับ Speeder ในเวลาเย็น ๆ ของเกมผมก็แยกแทบไม่ออกว่าอันไหนคือถนน อันไหนคือก้อนหินหรือหญ้ากันแน่ เนื่องจากมันใช้โทนสีคล้ายคลึงกันมากไปบวกกับ Texture ของฉากที่หยาบ ๆ อีกมันทำให้ผมตาลายต่อให้ปิด Motion Blur ก็ยังเป็นอยู่ แม้บางจุดก็ใช้สีสันที่มันต่างกันจนเห็นได้อย่างชัดเจนอันนี้ก็คงเป็นเรื่องของ Art Direction ของ Star Wars Outlaw ที่ตั้งใจทำออกมาแบบนี้ แต่ขอย้ำไว้ก่อนว่าปัญหาตรงนี้เกิดขึ้นเฉพาะใน Toshara ดาวหลักที่ผมใช้เวลากับเยอะที่สุดเท่านั้น ส่วนดาวอื่นเช่น Tatooine ทำออกมาได้ดีเลยเพราะฉากมันมีแต่ทราย
ส่วนบน PC นี่หนักกว่าบน Console ด้วยซ้ำ ด้วยความที่ผมสมัคร Ubisoft+ มาเล่นบน Xbox แล้วมันได้อานิสงส์เมื่อเชื่อมไอดี Ubisoft แล้วมันสามารถไปเล่นบน PC ได้ด้วยผหมเลยลองไปเล่นบน PC ก่อนเพราะภาพน่าจะสวยกว่า ซึ่งมันก็ดูดีกว่าจริงๆครับ แต่เต็มไปด้วยปัญหา Texture ไม่โหลด เฟรมเรทดรอปกระจุยตอนเจอหญ้า ทั้งๆที่ภาพโดยรวมมันก็ไม่น่าจะกินสเปคอะไรขนาดนั้น รวมถึงในเกมนี้มันบังคับเปิด Ray Tracing แบบปิดไม่ได้ และยังมีการใส่เทคโนโลยีใหม่อย่าง RTXDI ที่เปิดแล้วโคตรพ่อโคตรแม่กินสเปคเข้ามาอีก แต่อันนี้ปิดได้ครับ หลายคนเดาว่ามันคือเทคโนโลยีที่จะนำไปใช้จริงจังในการ์ดจอ Nvidia เจนใหม่ ไม่เพียงแค่ Texture ผมเล่นบน PC เกมดับบ่อยมาก จะบอกว่าสเปคคอมกากก็ไม่น่าจะใช่เพราะเครื่องที่ใช้เล่นใช้ I7-13700K กับ RTX4070 มันควรจะเล่นเกมปัจจุบันได้สบายๆแทบทุกเกมอยู่แล้ว จนผมต้องตัดสินใจย้ายไปเล่นบน Xbox ทันที และที่ฮากว่าคืออะไรรู้ไหมครับ หน้าเมนูมันบอกว่ารองรับ Cloud Save หรือหมายความว่าผมสามารถเอา Save บน PC ไปเล่นต่อบนเครื่องอื่นๆได้ แต่พอย้ายไปจริงๆ มันทำไม่ได้ครับ แล้วจะใส่มาทำไม แล้วรู้อะไรไหมครับตาก้องเราซื้อเครื่อง Xbox Series X มาเล่น 2 ปีกว่า ทุกเกมที่ดล้นไม่เคยทำเครื่องค้างมาก่อนอย่างมากก็แค่ดับออกมาหน้า Home /*/ เกม Star Wars Outlaw คือเกมแรกที่ทำให้เครื่องคอนโซล Xbox Series X ของตาก้องค้างแบบค้างจริงค้างจังกดอะไรไม่ได้เลยครับ ถ้าเทียบกับ PC ก็ประมาณจอฟ้าได้เลย ส่วนเรื่องบัคเท่าที่เล่นมาผมเจอบัคบ่อยอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ตัวละครศัตรูทะลุฉาก ไม่ก็ติดฉากในเกมบ้าง AI ศัตรูโง่บ้าง หรือบางครั้งก็บัคจนเล่นต่อไม่ได้เลยก็มี สำหรับผมไม่ได้หนักหนาอะไรเพราะทำใจไว้แล้วว่าเกมระดับ AAAA จาก Ubisoft ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้อยู่แล้วไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ที่หนักที่สุดเลยสำหรับคือเกมค้างจนเล่นไม่ได้ ทางแก้คือต้องออกเกมแล้วเข้าใหม่ถึงจะหาย แม้ปัญหาจุกจิกที่เจอจะไม่ได้หนักเท่า Star Wars Jedi Survivor แต่ก็น่าหงุดหงิดกว่าเยอะด้วยความที่เป็นเกม Open World ด้วยแหละ ปัจจุบันปัญหาทั้งหมดที่ผมเจอทั้งบน PC และ Xbox อาจจะได้รับการ Patch แล้วก็ได้ครับ ซึ่งถ้าเทียบกับราคาขนาดนี้ผมมองว่าเกมมันยังไม่เสร็จดีด้วยซ้ำไม่คุ้มค่าเออซะเลย