Bing Gordon อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ (Chief Creative Officer) ของ Electronic Arts (EA) เปิดเผยผ่านการให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ Grit ว่า EA เคยพลาดโอกาสสำคัญในการเป็นเจ้าของแฟรนไชส์เกมชื่อดังอย่าง Call of Duty, Guitar Hero และ Blizzard
Gordon เปิดเผยว่า ในอดีต Vivendi บริษัทแม่ของ Blizzard (ในขณะนั้น) เคยเสนอขาย Blizzard ให้กับ EA ในราคา 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ Larry Probst ซึ่งดำรงตำแหน่ง CEO ของ EA ในขณะนั้น ปฏิเสธที่จะเจรจา สุดท้าย Activision ได้เข้าซื้อ Blizzard ผ่านการควบรวมกิจการกับ Vivendi ในปี 2008 โดย Bobby Kotick อดีต CEO ของ Activision ระบุว่า Blizzard และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง World of Warcraft เป็นส่วนที่ทำกำไรได้เพียงส่วนเดียวของธุรกิจเกมของ Vivendi ในเวลานั้น
นอกจากนี้ Gordon ยังกล่าวอีกว่า EA เคยพิจารณา Call of Duty และ Guitar Hero แต่ก็ตัดสินใจไม่ดำเนินการใด ๆ ซึ่ง Gordon มองว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และยกย่อง Kotick ที่มองเห็นศักยภาพของเกมเหล่านี้ และสามารถรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้กับบริษัทได้
Kotick เปิดเผยเพิ่มเติมว่า EA เคยพยายามที่จะซื้อหรือควบรวมกิจการกับ Activision หลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ [Vivendi] เรียกเงิน 800 ล้านดอลลาร์ [สำหรับ Blizzard]" แต่ "[Larry Probst อดีต CEO ของ EA] ไม่ยอมเจรจาด้วย
Call of Duty, Guitar Hero, Blizzard... EA เห็นโอกาสเหล่านี้ก่อนใคร แต่กลับปล่อยผ่านไปทั้งหมด
นี่คือเหตุผลที่ผมเคารพ [Kotick] อย่างมาก ที่เขากล้าพูดว่า 'ไม่ ไม่ นี่จะเป็นสิ่งที่ดีถ้าได้เป็นเจ้าของ' แล้วคุณก็รักษาคนเหล่านั้นไว้ได้
Bing Gordon
สำหรับกรณีของ Call of Duty นั้น มีความเป็นไปได้ว่า Gordon อาจหมายถึงการที่ EA สูญเสียทีมพัฒนา Infinity Ward ผู้สร้าง Call of Duty ภาคแรก ไป เนื่องจากทีมงานไม่พอใจกับการที่ EA ให้พัฒนาเกม Medal of Honor เพียงอย่างเดียว ทีมงาน Infinity Ward จึงลาออก และมาก่อตั้ง Respawn Entertainment ในภายหลัง (ปัจจุบัน Respawn อยู่ภายใต้ EA)
ทั้ง Activision และ EA ต่างก็มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีนักในเรื่องของการรักษาบุคลากร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Blizzard ที่ประสบปัญหาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากเกิดกรณีการล่วงละเมิดทางเพศใน Activision Blizzard
Source : pcgamer